เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านส่วนใหญ่ เมื่อไม่ใช้งานก็ควรปิดสวิตช์และถอดปลั๊กออกไป เพื่อไม่ให้กินไฟและไม่ทำให้เปลืองไฟฟ้าอีกด้วย แต่สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างตู้เย็นไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะตู้เย็นเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องเสียบปลั๊กเอาไว้จึงทำให้มีการทำงานตลอดเวลา ทำให้ตู้เย็นกินไฟค่อนข้างมาก เรียกได้ว่าติดท็อปเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟมากที่สุดเลยก็ว่าได้
ถ้าคุณอยากประหยัดไฟมากขึ้นอีกขั้น พฤติกรรมการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าน้อยลง หรือใช้เท่าที่จำเป็นอาจไม่เพียงพอ ขอแนะนำให้ย้อนกลับไปตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกซื้อตู้เย็นเลย! ดังนั้น Global House ขอนำเสนอ How To การเลือกซื้อตู้เย็นอย่างไร ให้ได้ตู้เย็นที่เหมาะกับการใช้งานที่สุด คุ้มค่าที่สุด และช่วยประหยัดไฟในระยะยาว พร้อมทริคดีๆ ในการใช้งานตู้เย็นให้ไม่เปลืองไฟ และวิธีใช้งานตู้เย็นให้มีอายุการใช้งานนานๆ ไม่พังเร็วด้วยเช่นกัน!
หัวข้อไฮไลท์
7 สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณซื้อตู้เย็นประหยัดไฟ และคุ้มค่ามากที่สุด
โกลบอลเฮ้าส์เราคือผู้เชี่ยวชาญเรื่องบ้านตัวจริง! และยังเป็นศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและเครื่องใช้ในบ้านรายใหญ่อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านทุกชนิด และสามารถแนะนำคุณได้อย่างละเอียด ครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครื่องปรับอากาศพัดลม ไมโครเวฟเครื่องฟอกอากาศ หรือตู้เย็นที่เรากำลังพูดถึงในบทความนี้ก็ตาม ซึ่งเราก็ได้พิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับ “การซื้อตู้เย็นที่ทำให้คุณประหยัดไฟและคุ้มค่ามากที่สุด” มาให้เป็นที่เรียบร้อย นอกจากการเลือกซื้อตู้เย็นที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 กำกับแล้ว คุณควรพิจารณาอะไรอีกบ้าง? ซึ่งเราขอสรุปออกมาเป็น 7 ข้อ ดังนี้!
สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงก่อนซื้อตู้เย็นมาใช้งานคือ การตรวจวัดพื้นที่บ้านของคุณให้เรียบร้อยก่อน ว่ามีพื้นที่สำหรับการติดตั้งตู้เย็นมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากตู้เย็นเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำงานตลอดเวลา ทำให้เกิดความร้อนอย่างต่อเนื่อง จึงต้องเว้นระยะห่างระหว่างตู้เย็นกับผนังบ้าน เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่นด้วย หากมีพื้นที่น้อยอาจพิจารณาเลือกเป็นตู้เย็นขนาดเล็ก ตู้เย็น Minibar หรือ ตู้เย็น 1 ประตู แต่ถ้ามีพื้นที่กว้างขวาง ประกอบกับมีผู้อยู่อาศัยในบ้านหลายคน แนะนำให้ซื้อตู้เย็น 2 ประตู, ตู้เย็น Side by Side หรือตู้เย็น Multi Doors มาใช้งานแทน
คุณสมบัติพื้นฐานของตู้เย็น คือ การมีช่องแช่แข็ง, ช่องแช่เย็น, ช่องสำหรับวางไข่, ช่องสำหรับเก็บผักและผลไม้, ช่องที่มีความสูงสามารถวางขวดน้ำขนาดใหญ่ได้, ช่องที่มีฝาปิดสำหรับเก็บอาหารที่มีกลิ่น รวมไปถึงชั้นวางที่สามารถถอดออก-ใส่เข้าได้สะดวก และสามารถทำความสะอาดได้ง่าย เป็นต้น
หลักๆ แล้ว ภายนอกของตู้เย็นจะทำมาจากโลหะ ส่วนภายในจะทำมาจากพลาสติก เพื่อประสิทธิภาพในการกักเก็บอุณหภูมิความเย็น และเพื่อให้ง่ายต่อการทำความสะอาด แต่วัสดุดังกล่าวก็มีอยู่หลายเกรด สามารถแบ่งไปได้อีกหลายประเภท แนะนำให้ซื้อตู้เย็นที่ความแข็งแรง ทนทาน รองรับน้ำหนักได้ดี และสามารถทำความสะอาดได้ง่ายจะดีที่สุด นอกจากจะทำให้ตู้เย็นมีอายุการใช้งานยาวนานหลายสิบปีแล้ว ยังไม่ส่งเสียงดังรบกวน หรือผุพังง่าย จนต้องไปตามหาร้านซ่อมตู้เย็นบ่อยๆ อีกด้วย
คงจะเป็นเรื่องน่ารำคาญไม่ใช่น้อย หากตู้เย็นที่เราซื้อมาส่งเสียงดังรบกวนตลอดเวลา ซึ่งถ้าคุณอยากได้ตู้เย็นที่มีระบบการทำงานที่เงียบ คุณจะต้องซื้อตู้เย็นที่มีคอมเพรสเซอร์อินเวอร์เตอร์ ที่ช่วยเรื่องของเสียงรบกวนที่เบาลง ช่วยประหยัดค่าไฟกว่าเดิม และใช้งานได้ยาวนานขึ้น หากไม่แน่ใจว่าตู้เย็นรุ่นที่คุณสนใจมีระบบการทำงานที่เงียบหรือไม่ แนะนำให้สอบถามพนักงานเพิ่มเติม เพื่อความมั่นใจก่อนซื้อตู้เย็นมาใช้งาน
ซื้อตู้เย็นที่มีขนาดความจุที่เหมาะสมกับสมาชิกในครอบครัว เพื่อรองรับทุกความต้องการได้อย่างคุ้มค่า ยิ่งคนในบ้านเยอะเท่าไหร่ ยิ่งทำอาหารรับประทานเองบ่อยแค่ไหน ยิ่งต้องมองหาตู้เย็นที่มีความจุสูงขึ้นเท่านั้น สำหรับขนาดความจุของตู้เย็นจะเรียกเป็น “Cubic Feet” หรือหน่วยเป็น “คิว” เช่น ตู้เย็น 12 คิว, ตู้เย็น 6.6 คิว, ตู้เย็น 15 คิว ฯลฯ ซึ่ง Cubic Feet จะคำนวณได้จาก ความสูง x ความกว้าง x ความลึกของตู้เย็น (วัดหน่วยเป็นฟุต เมื่อคูณกันแล้วจะได้เป็นหน่วยคิวบิกฟุต)
“ราคา” เป็นด่านหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าตู้เย็นได้มาตรฐาน ผลิตจากวัสดุที่ดี และมีคุณภาพ แต่อย่างที่เราทราบกันว่าตู้เย็นมีหลายประเภทมาก แบ่งออกไปตามลักษณะของการใช้งานเป็นหลัก อาทิ ตู้เย็น Minibar, ตู้เย็น 1 ประตู, ตู้เย็น 2 ประตู หรือตู้เย็นหลายประตู เป็นต้น จึงส่งผลให้ราคาของตู้เย็นแต่ละประเภทแตกต่างกันไปด้วย อย่างไรก็ตาม ราคาของตู้เย็นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยประกอบกัน ทั้งประเภทของตู้เย็น, ยี่ห้อตู้เย็น, ขนาดความจุตู้เย็น, ดีไซน์ของตู้เย็น, ฟังก์ชันการใช้งาน ฯลฯ เราแนะนำว่าคุณควรเลือกราคากลาง-สูง ดีกว่าการเลือกตู้เย็นที่มีราคาถูกต่ำกว่ามาตรฐาน เพราะตู้เย็นที่มีราคาถูกมากๆ อาจไม่ได้มาตรฐาน, ไม่ผ่านการรับรอง มอก., เป็นอันตรายต่อชีวิต หรืออาจมีปัญหาอื่นๆ อย่างตู้เย็นไม่เย็นตามมาได้
ประเภทของตู้เย็น
ราคาโดยประมาณของตู้เย็นแต่ละประเภท
ถ้าอยากได้ตู้เย็นที่ช่วยประหยัดไฟ การนำระบบ ฟังก์ชัน หรือนวัตกรรมเสริมของตู้เย็นมาพิจารณา ก็เป็นสิ่งที่ควรทำไม่แพ้เรื่องอื่นๆ เลย ตู้เย็นแต่ละรุ่นจะมีนวัตกรรมเสริมแตกต่างกันไป แนะนำให้เลือกนวัตกรรมที่มีคุณสมบัติในการลดการใช้พลังงาน และมีฟังก์ชันการใช้งานที่เหมาะกับวิถีชีวิตของคุณ ตอบโจทย์ ทั้งใช้งานได้จริง และคุ้มค่าในระยะยาว
ตัวอย่างระบบ ฟังก์ชัน และนวัตกรรมเสริมในตู้เย็น
เมื่อเลือกซื้อตู้เย็นที่ชื่นชอบมาได้แล้ว ต่อไปเป็นเรื่องของพฤติกรรมการใช้งานตู้เย็นของคุณและคนในครอบครัว เพราะถึงแม้ว่าคุณจะซื้อตู้เย็นที่ใช้พลังงานน้อยมากแค่ไหน แต่คุณดันชอบเปิดตู้เย็นค้างไวบ่อยๆ แช่ของในตู้เย็นจนแน่นเอี๊ยดตลอด ไม่ยอมทำความสะอาดตู้เย็นเลย ฯลฯ ก็ไม่ได้ช่วยให้คุณประหยัดค่าไฟได้มากเท่าที่ควร ดังนั้นคุณควรปฏิบัติตัวตามนี้ กับ 8 ทริคดีๆ ในการใช้งานตู้เย็นให้ประหยัดค่าไฟได้จริง!
1. วางตู้เย็นในตำแหน่งที่เหมาะสม ห่างจากผนังอย่างน้อย 15 เซนติเมตรขึ้นไป ทั้งด้านข้างและด้านหลัง
2. ปรับอุณหภูมิของตู้เย็นให้พอดี หรือช่องแช่แข็งอยู่ที่ -18 ถึง -20°C ส่วนช่องแช่เย็นอยู่ที่ 2 - 5°C
3. ใช้งานช่องแช่ของให้ถูกต้องและแยกช่องเก็บอาหารแต่ละชนิดออกจากกัน
4. ไม่แช่ของเยอะจนแน่นตู้เย็น เพราะจะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักและเปลืองไฟ
5. ไม่เปิดตู้เย็นบ่อยๆ หรือเปิดค้างไว้นานๆ เพราะจะทำให้อุณหภูมิตู้เย็นไม่คงที่และทำงานหนักขึ้นได้
6. หมั่นทำความสะอาดตู้เย็นเป็นประจำทุกเดือน และละลายน้ำแข็งที่เกาะกันหนาๆ ออกไป
7. เช็กหลอดไฟในตู้เย็นเป็นครั้งคราว เพราะถ้าหลอดไฟทำงานผิดปกติ อย่างสว่างตอนที่ปิดประตูตู้เย็น อาจทำให้ตู้เย็นทำงานหนักกว่าเดิมและกินไฟเยอะขึ้นได้
8. ตรวจเช็กสภาพของขอบยางเสมอ เพราะถ้าขอบยางตู้เย็นเสื่อมสภาพจะทำให้สูญเสียความเย็นได้
ไม่อยากให้ตู้เย็นพังเร็ว มาดูวิธีการยืดอายุการใช้งานตู้เย็น ทำตามนี้เลย!
1. ไม่เสียบปลั๊กตู้เย็นร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่น เพราะตู้เย็นใช้พลังงานเยอะและยังต้องเสียบทิ้งไว้ตลอดอีกด้วย หากมีการเสียบปลั๊กร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่น อาจทำให้เต้ารับมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นจนระเบิด หรือสร้างความเสียหายให้แก่คุณได้
2. ไม่แช่ของร้อนในตู้เย็น แนะนำให้พักอาหารหรือเครื่องดื่มที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ไว้ข้างนอกให้อุ่นหรือเย็นเสียก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ตู้เย็นทำงานหนักมากเกินไปและกินพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น (ถ้าเราแช่ของร้อน อุณหภูมิในตู้เย็นจะอุ่นขึ้น ระบบความเย็นจึงต้องทำงานให้หนักขึ้น เพื่อเร่งความเย็นและควบคุมให้อุณหภูมิอยู่ในระดับที่เหมาะสม)
3. อย่าเอาน้ำอัดลมแช่ช่องฟรีซ ซึ่งรวมถึงน้ำอัดแก๊สทุกชนิดด้วย เพราะแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ก็จะถูกบีบให้แตกตัว ทำให้กระป๋องเครื่องดื่มพองตัวมากขึ้นเรื่อยๆ และระเบิดในท้ายที่สุด ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้แก่ตู้เย็นและเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานได้
4. ห้ามแช่ภาชนะแก้วในช่องฟรีซ เพราะช่องฟรีซไม่ได้แช่แข็งความชื้นด้วย ทำให้ปริมาตรของน้ำขยายตัวขึ้นได้เมื่อเจอความเย็นจัด ดังนั้นภาชนะแก้วก็มีโอกาสที่จะแตกได้
เลือกซื้อตู้เย็นให้เหมาะสมและพอดีกับสมาชิกในครอบครัว จะทำให้เราเก็บวัตถุดิบ อาหาร และเครื่องดื่มต่างๆ ได้อย่างมีระเบียบ โดยที่ตู้เย็นไม่ได้อัดแน่นเกินไปจนทำให้เครื่องทำงานหนักขึ้น หรือโล่งจนเกินไปจนรู้สึกไม่คุ้มค่า ลองมาดูกันว่าตู้เย็นที่เหมาะสมกับแต่ละบ้าน เป็นอย่างไรกันได้เลย!
1. ตู้เย็นสำหรับบ้านที่มีสมาชิก 1-2 คน
HAIER ตู้เย็น 1 ประตู 6.3 คิว รุ่น HR-DMBX18 CG สีทอง
จบไปเป็นที่เรียบร้อยกับบทความเรื่อง “วิธีการเลือกซื้อตู้เย็นให้ประหยัดพลังงานและเหมาะกับการใช้งานที่สุด” โดยทางโกลบอลเฮ้าส์ก็ได้ลิสต์สิ่งที่คุณควรพิจารณาก่อนซื้อตู้เย็น รวมถึงทริคในการใช้ตู้เย็นให้ประหยัดไฟให้คุณแล้ว เรียกได้ว่าจัดเต็มกันไปเลย! ถ้าถามว่าจากบรรดาตู้เย็นทุกประเภท ตู้เย็นแบบไหนประหยัดไฟมากที่สุด? ตู้เย็น 2 ประตู ที่มีระบบ Inverter และมีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 คือคำตอบสุดท้าย! ทั้งนี้ทั้งนั้น การเลือกตู้เย็นให้เหมาะกับการใช้งานของแต่ละบ้าน อาจจะตอบโจทย์และช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าก็เป็นได้
เพื่อไม่ให้พลาดทุกโปรโมชันใหม่ๆ ทั้งสินค้าวัสดุก่อสร้าง หรือสินค้าตกแต่งบ้าน สามารถติดตามและสั่งซื้อสินค้า Global House ได้หลากหลายช่องทางที่
Facebook: Global House โกลบอลเฮ้าส์
Line@: @globalhouse
TikTok: globalhouseofficial
App Click&Collect
บริการช่างดี
App ช่างดี
Facebook: ChangDeeService
Line Official: @Changdee
เนื้อหาที่คล้ายกัน